หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีแก้มาตรา 112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง และสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล หยุดการกระทำดังกล่าว เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ทางพีพีทีวีได้พูดคุย ‘นายจตุพร พรหมพันธุ์’แกนนำหลอมรวมประชาชน ในรายการ ปิดไมค์ถาม ของทาง PPTV โดย จตุพร มีความคิดเห็นรวมถึงวิเคราะห์อนาคตของก้าวไกล ดังนี้คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย
นายจตุพร มองส่วนตัว ว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ กับคำวินิจฉัยของศาล
"ศิริกัญญา" ไม่หวั่นถูกยื่นสอบจริยธรรม เหตุหนุนแก้ม.112 เตรียมทีมกฎหมายสู้คดี
“สนธิญา-ธีรยุทธ” ยื่นป.ป.ช.สอบจริยธรรม 44 สส. ก้าวไกล ลงชื่อแก้ ม.112
เพราะว่าจะนำไปสู่สถานการณ์อื่นๆ และไม่ได้เป็นผลดีกับประเทศชาติโดยรวม อีกทั้งจตุพรมองว่า คำวินิจฉัยเมื่อวานนี้เป็นคำเตือนมากกว่า โดยสุ่มเสี่ยงว่าจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ จึงให้หยุดการกระทำและปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น เป็นการบล็อคเอาไว้
ศาลรัฐธรรมนูญมีมุมทางกฎหมาย การแก้ ม.112 เหตุไปกระทบความมั่นคง กระทบสถาบัน
นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่พูดเรื่องการแก้ไขไม่ได้มีเฉพาะก้าวไกล เพื่อไทย แม้กระทั่งเสรีรวมไทยก็พูด การพูดเรื่องการแก้ไขโดยกระบวนการนิติบัญญัติตามกฎหมาย เป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภา การไปเสนอแก้ไขอย่างไรก็ต้องรอว่ากระบวนการแก้ไขเป็นปัญหาหรือไม่ ร่างนั้นมีปัญหาก่อนการประกาศใช้หรือระหว่างการพิจารณายื่นในศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ เป็นโมฆะหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หลักคิด หากพูดผิดประมวลกฎหมายมาตรา 112 ก็ยังดำเนินคดีได้ แต่การที่ไม่ไปดำเนินคดีแต่แรกแสดงว่าก็ไม่ได้ก้าวเขต เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะไปอธิบายกระบวนการแก้ไขให้เป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติ แต่เขียนล็อคซ้ายล็อคขวากันไว้ก็ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรได้ อีกทั้งจตุพรได้พูดมาตั้งแต่ต้น เรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องความน่ากลัว เพราะในทางปฏิบัติจะไม่มีทางสำเร็จหากเข้าสภา
ศาลหยิบยกพฤติกรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกสภา เช่น ไปเป็นนายประกันในกับผู้ต้องหา ม.112 ไปร่วมขบวน หรือพิธาติดสติ๊กเกอร์
นายจตุพร ให้ความเห็นว่า หากต่อไปถ้าคิดเรื่องประกันตัว ใครจะไปกล้าประกันตัวคดีฆ่าคนตายต่อไปนี้ แสดงไปสมทบฆ่าคนตายไหม คดีก่อการร้าย คดีชุมนุมอื่นๆ ใครจะไปกล้าเป็นนายประกันไหม การประกันตัวไม่ใช่ว่าร่วมกระทำความผิด หลักในการพิจารณาคดีตราบใดจนศาลพิพากษาถึงที่สุด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก็บัญญัติคุ้มครองไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นต่อไปใครจะกล้าประกัน
ก้าวไกลไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเรื่องการถูกยุบ เพราะถูกยุบมาแล้ว?
นายจตุพร มองว่า ต่อให้จะไปอยู่ร่างอนาคตใหม่ ร่างก้าวไกลหรือจะร่างใดก็ตาม การยุบพรรค โดยเฉพาะมาจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง มันจะทำให้เติบโตอย่างทวีคูณ และกล่าวถึงในมิติทางรัฐศาสตร์ทางการเมือง ในระหว่างทางเป้าหมายคือการยึดเมือง ทหารราบจะต้องบาดเจ็บล้มตายระหว่างทาง เหมือนกับถูกตัดสินระหว่างทาง โดยปลายทางไม่ได้สนใจว่าใครคือคนนำ ในระหว่างทางกรณีของพิธา เห็นได้ว่าวันที่ ธนาธร, ปิยบุตร, ช่อ ไปมีพิธามารับไม้ต่อ ในระหว่างพิธาทำท่าจะไปแล้วไม่ได้ไปก็ชัยธวัชก็รับต่อ ดังนั้นที่เหลือต่อไปไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนนำ ดังนั้นในร่างใหม่ หากก้าวไกลนำพาไปสู่การยุบพรรค ร่างใหม่ในนามอะไรก็ตามนั้น ใครก็รู้ว่าก้าวไกลถ้าได้เสียงไม่ถึงครึ่งจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะฉะนั้นการยุบพรรคมันจะเร่งให้ก้าวไกลได้เสียงเกินครึ่งในนามพรรคอื่นใด ได้ขึ้นมา
มองมุมลึกถ้าถูกยุบ 44 คนก็จะถูกตัดสิทธิ์? รุ่นใหม่จะโตไม่ทัน?
นายจตุพร กล่าว 44 คนถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต แต่มีต่อแถวอีกเป็นร้อย ในร่าง 3 หมายถึงออกจากร่างอนาคตใหม่ 81 พอมาอยู่ในร่างก้าวไกล 150 และออกจากร่างก้าวไกลไปใหม่จะโตตามลำดับ หมายความว่ามีคนรุ่นใหม่มาต่อแถวอีกจำนวนมาก เพราะฉะนั้นระหว่างทางต่อให้ฐานรากจะตายไปกี่คน คือในทางภูมิรัฐศาสตร์สู้แบบไม่สู้ก็ไม่ได้ ถ้าคิดจะสู้ต้องไม่ใช้วิธีนี้ สำหรับรุ่นใหม่จนถึงวันตอนหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง มองว่า เวลาหาเสียงมี 3 รุ่นมีผู้ช่วยหาเสียง จตุพร มองปรากฏการณ์ว่า อะไรก็ตามใครจะคิดเกมนี้ก็ตามต้องมีศิลปะ คือการกระทำไม่ใช่ว่าจะไปทำลายล้างได้อย่างเดียวแต่เป็นการสร้างให้เขาเกิดใหม่อย่างแข็งแรงมากกว่าเดิม และหากมองอย่างเข้าใจสถานการณ์มันไปไกลกว่าที่คิด ถ้าการแก้ไขปัญหาเอาวิธีที่ไม่ถูกต้อง เท่ากับไปเร่งและจะเติบโต โดยก่อนเกิดเหตุโพลบอกก้าวไกลจะเติบโตกว่าเดิมถึงสองเท่า และหลังจากนี้ ถ้าลองไปสำรวจใหม่จะโตกว่าเดิมอีกกี่เท่า อีกทั้งก้าวไกลไม่เคยมีบาดแผล มีความหวังอย่างเดียว เต็มไปด้วยความหวังไม่มีการทำให้เกิดความผิดหวัง เพราะเค้ายังไม่เคยทำอะไร เพราะฉะนั้นจุดแข็งข้อเดียวของก้าวไกลคือยังไม่เคยเป็นรัฐบาล
มุมมองอนาคต
นายจตุพร มีความเห็นว่า การที่จะให้ประเทศนำพาไปสู่คำว่า ศิวิไลซ์ ต้องใช้ศิลปะและที่สำคัญหาจุดเริ่มของคำว่านับหนึ่งให้ได้ และกล่าวว่า ในประเทศมีปัญหามากเพียงแต่ว่าต้องรื้อปัญหาทั้งหมดแล้วนำมาแก้ไข อีกทั้งมองว่าประเทศไทยเลยคำว่าปฏิรูปไปแล้ว ต้องขั้นคำว่าปฏิวัตรเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่หมายถึงการรัฐประหาร
“นาตาลี เกลโบว่า” เปิดใจครั้งแรก เลิกสามีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เผยเรื่องยากที่สุดในชีวิต
ผลบอลเอเชียน คัพ 2023 เกาหลีใต้ ควง จอร์แดน เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย
ฟังความเห็น ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ มองก้าวไกล หากถูกยุบจะยิ่งเติบโต